การวัดความหนาแน่นของประชากร(population measurement)
1. วิธีวัดความหนาแน่นสมบูรณ์ หรือความหนาแน่นที่แท้จริง (absolute density) เป็นการวัดความหนาแน่นของประชากรต่อหน่วยพื้นที่หรือปริมาตร มีวิธีการวัด2 วิธี คือ
1.1
การนับทั้งหมด
(total
counts) เป็นการนับจำนวนประชากรทั้งหมดในพื้นที่สำรวจ
มักใช้กับสัตว์พวกที่มีกระดูกสันหลัง(vertebrate) เช่น
การศึกษาจำนวนประชากรของนักศึกษามาหาวิทยาลัยเชียงใหม่
จำนวนลิงในสวนสัตว์เชียงใหม่
1.2
การสุ่มตัวอย่าง
(sampling
method) เป็นการวัดความหนาแน่นในสัดส่วนหรืออัตราส่วนเล็กๆ
ของประชากรทั้งกลุ่ม แล้วนำไปประเมินเป็นความหนาแน่นทั้งหมดของประชากรนั้นๆ
วิธีการสุ่มตัวอย่างที่นิยมใช้โดยทั่วไป ได้แก่
1.2.1
การใช้ควอแดรท
(quadrant)
เป็นการนับประชากรทั้งหมดภายในพื้นที่ที่ทำการเก็บตัวอย่างหรือควอแดรท
ซึ่งจะเป็นรูปอะไรก็ได้ แต่ที่นิยมทำกันมักเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ค่าความหนาแน่นของประชากรที่ศึกษาต้องอาศัยค่าต่างๆ เช่น
ต้องทราบจำนวนทั้งหมดในแต่ละ ควอแดรท ทราบพื้นที่ในแต่ละควอแดรท
รวมถึงตัวอย่างที่เก็บมาต้องเป็นตัวแทนที่ดีของพื้นที่ทั้งหมดที่ทำการสำรวจ
แล้วนำข้อมูลที่ได้มาหาค่าเฉลี่ย เช่น เก็บตัวอย่างมา 37
ควอแดรท
จำนวนสิ่งมีชีวิตที่นับได้คือ 30 ดังนั้นจะได้จำนวนตัวต่อควอแดรท
คือ 30/37
= 0.811 และเมื่อแต่ละควอแดรทมีพื้นที่เท่ากับ
0.08
ตารางเมตร สามารถหาค่าความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ได้เป็น
0.811/0.08
= 10.1 ตัวต่อตารางเมตร
เป็นต้น
1.2.2.
การจับ-ปล่อย
แล้วจับอีกครั้ง (capture recapture) เป็นการจับสิ่งมีชีวิตที่สนใจมาทำเครื่องหมายแล้วปล่อยไปและทำการจับคืนมาอีก
แล้วนับจำนวนตัวที่มีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมายเพื่อนำมาคำนวณหาจำนวนประชากร
การสุ่มโดยวิธีนี้นอกจากจะเป็นการประเมินความหนาแน่นแล้วยังเป็นการประเมินอัตราการเกิดและ
อัตราการตายของประชากรได้ด้วยการวัดความหนาแน่นด้วยวิธีนี้คำนวณได้จากสูตร P
= T2M1/
M2
P
= ประชากรที่ต้องการทราบ
M1
= จำนวนสัตว์ที่จับได้ครั้งแรกและทำเครื่องหมายทั้งหมดแล้วปล่อย
M2
= จำนวนสัตว์ที่ทำเครื่องหมายที่จับได้ครั้งหลัง
T2
= จำนวนสัตว์ทั้งหมดที่จับได้ครั้งหลังทั้งที่มีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมาย
การประเมินความหนาแน่นของประชากรมีข้อแม้ว่า
1.
สัตว์ที่ถูกทำเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมายจะถูกจับได้โดยสุ่ม
2.
ถ้ามีการตายเกิดขึ้น
สัตว์ที่ถูกทำเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมายมีโอกาสที่จะได้ตายเท่ากัน
3.
เครื่องหมายที่ทำไว้จะต้องไม่หลุด
สูญหาย หรือมองเห็นได้ยาก การประเมินประชากรด้วยวิธีนี้ปกติจะมีการทำซ้ำๆ
หลายครั้งต่อปีซึ่งทำให้สามารถทราบถึงอัตราการเกิดและอัตราการตายได้อีกด้วย
2.
วิธีวัดความหนาแน่นสัมพัทธ์
(relative
density) จำนวนประชากรที่คำนวณได้จากการสุ่มตัวอย่างเป็น“เครื่องชี้”
(index) บอกขนาดของประชากร
โดยบอกเป็นค่าความหนาแน่นต่อหน่วยคงที่ใดๆ เช่น ต่อกับดักหรือต่อใบพืช
และมีความสัมพันธ์กับประชากรแท้จริงค่อนข้างจะคงที่
ใช้ได้ในเชิงเปรียบเทียบเท่านั้น การหาความหนาแน่นสัมพัทธ์มีหลายวิธี เช่น
1.
ใช้กับดัก
เช่น กับดักแมลงวัน แสงไฟล่อแมลง การขุดหลุมดักแมลงปีกแข็ง เครื่องดูดจับแมลง
จำนวนที่จับได้ขึ้นอยู่กับความว่องไวของแมลง จำนวนที่มีอยู่
และความชำนาญของผู้ใช้กับดัก เป็นต้น
2.
นับจำนวนมูล
การนับปริมาณมูลของแมลงสามารถใช้บอกขนาดของประชากรได้ เช่น
การวัดความหนาแน่นประชากรของ ด้วงเจาะลำต้น เป็นต้น
3.
ความถี่ในการกระพริบแสง
เช่น มีการนับจำนวนหิ่งห้อยจากการกระพริบแสงช่วงตอนกลางคืน
เพื่อใช้เป็นดรรชนีบอกขนาดของประชากร
4.
จำนวนร่องรอยที่สัตว์ทำไว้
เช่น ปลอกดักแด้ รูจิ้งหรีด กองดินที่จั๊กจั่นบางชนิดทำขึ้น
5.
ปริมาณอาหารที่กิน
เช่น การวัดประชากรหนูโดยใช้จำนวนเหยื่อที่หนูกินเป็นดรรชนี
วิธีนี้ใช้เพื่อประเมินผลของการใช้ยาเบื่อหนูต่อประชากรหนูเมื่อก่อนและหลังเบื่อยา
เป็นต้น
6.
ความถี่
ใช้เปอร์เซ็นต์ของจำนวน ควอแดรทที่มีสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นอยู่เป็นดรรชนี
7.
จำนวนประชากรที่จับได้แต่ละครั้ง
เป็นเครื่องชี้บอกความมากน้อยของประชากรวิธีวัดความหนาแน่นสัมพัทธ์มีประโยชน์ในการช่วยสนับสนุนผลจากการวัดโดยตรงให้มีความแน่ชัดยิ่งขึ้น
เมื่อการนับจำนวนสัตว์หลายชนิดเป็นไปได้ยาก
ก็จำเป็นต้องยอมรับผลของการนับด้วยวิธีวัดความหนาแน่นสัมพัทธ์ซึ่งใช้ดรรชนีต่างๆ
เป็นตัวบ่งชี้จำนวนประชากร
ขอโจทย์สำหรับสูตรข้างบนหน่อยค่ะ
ตอบลบ